ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ระบบภูมิคุ้มกัน (immune system) คือระบบที่คอยปกป้องร่างกายของสิ่งมีชีวิตจากสิ่งแปลกปลอม โดยเฉพาะจุลชีพก่อโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต รา พยาธิ รวมถึงสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ เช่น เซลล์ที่กำลังเจริญเติบโตไปเป็นมะเร็ง อวัยวะของผู้อื่นที่ปลูกถ่ายเข้ามาในร่างกาย การได้รับเลือดผิดหมู่ สารก่อภูมิแพ้ ฯลฯ
ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างไร?
ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่เสมือนกองทัพที่ปกป้องร่างกาย ส่วนใหญ่อยู่ในระบบทางเดินน้ำเหลืองและกระแสเลือด ระบบทางเดินน้ำเหลืองประกอบด้วยโครงข่ายของท่อน้ำเหลืองซึ่งลำเลียงของเหลวจากช่องว่างระหว่างเซลล์กลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต นอกจากนี้ ยังมีต่อมน้ำเหลือง ม้าม และต่อมไทมัส ซึ่งต่างก็ผลิตลิมโฟไซต์อันเป็นเซลล์ที่คอยตรวจจับ ทำลาย และกำจัดสารแปลกปลอม จุลินทรีย์ และเซลล์มะเร็งทั้งหลาย
ระบบภูมิคุ้มกันแบ่งเป็น 2 ระบบ คือ
- Innate immunity เป็นระบบภูมิคุ้มกันที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ป้องกันสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จำเพาะเจาะจง เช่น ผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะตัวในการป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกไปจากร่างกาย ดังนี้
- ผิวหนัง จะมี lactic acid และ fatty acid ที่ผลิตออกมาจากต่อมไขมันที่ผิวหนัง ช่วยยับยั้งและทำลายเชื้อโรค แต่ถ้าหากผิวหนังชั้นนอกเปิดออก เช่น ถ้ามีแผลเล็กๆ ระบบภูมิคุ้มกันจะกำจัดเชื้อออกไปได้ โดยการล้างแผลให้สะอาด รักษาแผลให้แห้ง แต่ถ้าแผลขนาดใหญ่และลึก ภูมิคุ้มกันจัดการไม่ไหว ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด และเป็นสาเหตุให้ช็อกและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
- เยื่อบุหลอดลม มีเซลล์ที่มีขน (hairy cell) คอยพัดโบกเชื้อโรคให้ออกไปจากหลอดลม อีกทั้งมีเซลล์ผลิตเสมหะ (goblet cell) ที่เหนียวหนืด ไว้คอยดักจับเชื้อโรคคล้ายกาวจับแมลงวันเพื่อไม่ให้เข้าสู่เยื่อบุหลอดลม
- น้ำมูก น้ำลาย น้ำตา มีหน้าที่ชะล้างเชื้อโรคออกไปจากเยื่อบุ อีกทั้งในสารคัดหลั่งเหล่านี้ยังมี enzyme ที่มีคุณสมบัติในการย่อยทำลายเชื้อโรคอย่างอ่อนๆ อีกด้วย
- การไอ ช่วยขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่เราสำลักเข้าไปในหลอดลมและปอด หากสิ่งแปลกปลอมทำให้เกิดการระคายเคืองมาก ก็จะไอนานจนกว่าจะหลุด ผู้สูงอายุจึงเป็นปอดอักเสบจากการสำลักได้บ่อย
- ความเป็นกรดของสารคัดหลั่งในช่องคลอดช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรค
- ความแรงของกรดในกระเพาะอาหารที่ฆ่าเชื้อโรคแทบไม่เหลือ ยกเว้นเชื้อทนกรดเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น
2. Acquired immunity คือภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นภายหลัง หากเชื้อโรคสามารถฝ่าด่านแรกเข้าสู่ใต้เยื่อบุหรือผิวหนังที่มีบาดแผลได้แล้ว เซลล์ต่างๆ ของระบบภูมิคุ้มกันจะพยายามกำจัดเชื้อโรคเหล่านี้ให้ออกไปพ้นจากร่างกาย เซลล์เหล่านี้เจริญเติบโตมาจาก stem cell อันเป็นเซลล์ต้นตอในไขกระดูก เติบโตเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ เมื่อเซลล์เหล่านี้โตเต็มที่แล้วจึงออกมาสู่กระแสเลือด ล่องลอยไปอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ตามหน้าที่เฉพาะตัวแตกต่างกันไปของเซลล์แต่ละชนิด แต่ทำงานสอดคล้องประสานกันเป็นระบบอย่างน่าอัศจรรย์ ดังนี้
- Granulocyte เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่มี granule มากมายในเซลล์ ส่วนใหญ่อยู่ในกระแสเลือด มีหน้าที่กรูกันมาจัดการกับ antigen โดยกินเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าปรสิต และ enzyme ที่อยู่ใน granule ย่อยสลายเชื้อโรคและแปรสภาพเป็นหนอง หากอยู่ในกระแสเลือดก็กลายเป็นซากแล้วถูกกำจัดไป
- Monocyte เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีจำนวนน้อยในกระแสเลือด มีหน้าที่กินเชื้อโรคในกระแสเลือดและเก็บกินซากที่เกิดจากการทำลายเชื้อโรค
- Macrophage เป็น monocyte ที่อยู่ในเนื้อเยื่อ กระจายอยู่ในอวัยวะต่างๆ เมื่อกิน antigen เข้าไปแล้ว จะทำหน้าที่เป็น antigen presenting cell (APC) คือส่งสัญญาณจาก antigen ต่อมาให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T lymphocyte เพื่อรับหน้าที่ต่อไป
- Dendritic cell มีหน้าที่เช่นเดียวกับ macrophage
- ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) เป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่แข็งขันที่สุด แบ่งตามหน้าที่เป็น 2 ชนิด คือ บีเซลล์และทีเซลล์ ในร่างกายยังมีเซลล์พิฆาตตามธรรมชาติ (เอ็นเคเซลล์) ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้และกำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยเฉพาะเซลล์มะเร็งทันที
1. B lymphocyte คือ ภูมิต้านทาน (antibody) ที่ถูกผลิตโดยม้าม จะขับสารต้านเชื้อแปลก ปลอมจำเพาะต่อเชื้อ เป็นเซลล์ที่จำเชื้อโรคเดิมได้ เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งก็จะระดมพลเพื่อทำลายในทันที จึงสามารถกำจัดเชื้อโรคออกไปโดยไม่ทันก่อโรคได้ในสัปดาห์แรก จะมีอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต
2.T lymphocyte ถูกผลิตในต่อมไทมัสสามารถทำลายสิ่งแปลกปลอมได้โดยตรง เริ่มงานเมื่อได้รับสัญญาณจาก APC มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันด้านเซลล์ ที่สำคัญมี 3 ชนิด คือ
- T helper หรือ CD4 มีหน้าที่ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน มีอานุภาพสูง หลั่งสารมากมายหลายชนิดออกมาจากเซลล์เรียกว่า cytokines เพื่อกระตุ้นเซลล์ชนิดต่างๆในระบบภูมิคุ้มกันให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนระดมพล และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อโรคเหมือนทหารที่ฮึกเหิมพร้อมออกศึก
- T suppressor หรือ CD8 มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม อีกทั้งยับยั้งการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันเมื่อหมดความจำเป็นแล้ว ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายต่อร่างกายจากการทำงานที่เกินเลยของระบบภูมิคุ้มกัน
- Natural killer cell เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวหรือเซลล์พิฆาตตามธรรมชาติ มีหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็ง และเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสเป็นหลัก
เซลล์เม็ดเลือดขาวที่พบในเลือด ประกอบด้วย ฟาโกไซต์และลิมโฟไซต์ มีบทบาทสำคัญในการทำลายแบคทีเรียที่มารุกราน รวมทั้งกำจัดเนื้อเยื่อที่ตายและถูกทำลายลง
ระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ต้องมีดุลยภาพสมบูรณ์ ดังนั้น แม้ว่าระบบภูมิคุ้มกันจะมีหน้าที่หลักในการทำลายสิ่งแปลกปลอม แต่ก็อาจจะยอมให้สารที่ร่างกายเราต้องการ เช่น อาหารผ่านเข้ามาได้
ระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ต้องมีดุลยภาพสมบูรณ์ ดังนั้น แม้ว่าระบบภูมิคุ้มกันจะมีหน้าที่หลักในการทำลายสิ่งแปลกปลอม แต่ก็อาจจะยอมให้สารที่ร่างกายเราต้องการ เช่น อาหารผ่านเข้ามาได้
ในกลุ่มคนไข้ที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน ระบบย่อยอาหารมักมีปัญหา การย่อยอาหารที่ทำได้ไม่สมบูรณ์ จะทำให้สารอาหารที่จะไปซ่อมแซมเซลล์และสร้างพลังงานนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์อวัยวะในร่างกาย ทำไม่ได้ดี จึงทำให้เซลล์ของแต่ละอวัยวะขาดอาหาร เนื้อเยื่อต่างๆจะขาดการบำรุง ยับยั้งกลไกการสร้างปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย จนถึงระบบการขจัดสารพิษได้น้อยลง จนส่งผลถึงระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวน้อยลง จนเป็นจุดวิกฤตในการสู้กับเชื้อโรคที่เข้ามารุกราน
การอ่อนล้าของเซลล์ทำให้ร่างกายขาดแคลนเชื้อเพลิงและออกซิเจน การย่อยที่ไม่สมบูรณ์ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น ทำให้เกิดปัญหา คือ
การอ่อนล้าของเซลล์ทำให้ร่างกายขาดแคลนเชื้อเพลิงและออกซิเจน การย่อยที่ไม่สมบูรณ์ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น ทำให้เกิดปัญหา คือ
- ทำให้ลำไส้ระคายเคือง เกิดการอักเสบของผนังลำไส้ซึ่งจะนำไปสู่การปลดปล่อยสารเคมีอันตรายที่ทำให้ผนังลำไส้เป็นแผล โปรตีนที่ย่อยไม่สมบูรณ์จะผ่านไป สู่ท่อน้ำเหลืองของผนังลำไส้ และ ระบบไหลเวียนทั่วร่างกาย ภูมิคุ้มกันนึกว่าสิ่งแปลกปลอมก็จะต่อสู้จนเหลือจำนวนน้อยลง ทำให้เชื้อโรคและเชื้อรา เช่น เชื้อรา แคนดิดา อัลบิแคน ไวรัส ก่อตัวและเพิ่มจำนวนได้มากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันก็ทำงานหนักยิ่งขึ้นไปอีก
- การอักเสบทั่วไป จากกากอาหาร ทำให้เกิดปฏิกิริยาเผาผลาญออกซิเจนและอนุมูลอิสระที่ไปทำลาย ผนังเซลล์อื่นๆ จนนำไปสู่การทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
- เชื้อราแคนดิดา เป็นหนึ่งในเชื้อราที่รู้จักกันดีในมนุษย์ พบได้ในร่างกายตามปกติแต่ เมื่อมีความเครียด เหนื่อยล้า และพักผ่อนไม่เพียงพอ ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานด้อยประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการติดเชื้อได้
ศัตรูของระบบภูมิคุ้มกัน
อวัยวะและเซลล์ทั้งหลายของระบบภูมิคุ้มกันต้องการสารอาหารบางประเภทเพื่อช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล สิ่งที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น
- อาหารที่ไม่มีคุณภาพ จะทำให้สารอาหารไม่ครบตามที่ร่างกายต้องการ
- ความเครียดสะสม
- การสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์
- คาเฟอีนที่มีปริมาณมากเกินไป
- น้ำตาลเป็นสาเหตุเบื้องต้นของโรคเสื่อมต่างๆ
- ยารักษาโรคที่กดหรือทำลายภูมิคุ้มกัน
- สารปรุงแต่งอาหาร เช่น ผงชูรส สารกันบูด
- ยาฆ่าแมลงที่ปะปนมากับอาหารที่ทานเข้าไป
- มลพิษในอากาศ น้ำ ดิน
- การขาดการออกกำลังกาย
- การนอนหลับไม่เพียงพอ
สัญญานภูมิคุ้มกันต่ำในร่างกาย
- เป็นหวัดง่ายหรือติดเชื้อได้บ่อยครั้ง
- ระบบการย่อยผิดปกติ
- ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า
- อาการปวดตามข้อ
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ผิวพรรณที่หมองคล้ำ
- อาการภูมิแพ้
- อาหารเป็นพิษ
การเลือกทานอาหารเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
ในการรักษาเซลล์และอวัยวะสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงและอยู่ในภาวะสมดุล ควรเลือกทานอาหารอย่างถูกต้องและครบครันทั้งสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ เช่น
- วิตามินซี : ระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดต้องอาศัยวิตามินซีในการทำงาน ผลไม้และผักส่วนใหญ่จะมีวิตามินซีสูง ควรทานเป็นประจำ
- วิตามินเอ : เป็นสารต้านไวรัสที่ทรงพลัง ช่วยบำรุงต่อมไทมัส พบได้ใน ตับ ผลิตภัณฑ์จากนม ปลาที่มีไขมันดีสูง น้ำมันตับปลา และเบต้าแคโรทีนในพืชผัก
- วิตามินบี : สำคัญต่อการทำงานของฟาโกไซต์ (เซลล์เม็ดเลือดขาว) พบใน ข้าวกล้อง ธัญพืช
- วิตามินอี : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอานุภาพและช่วยกระตุ้นการผลิตแอนตีบอดี้
- แคลเซียม : ช่วยเซลล์ฟาโกไซต์ในการทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม พบในผลิตภัณฑ์จากนม
- ซีลีเนียม : จำเป็นต่อการผลิตแอนตีบอดี้
- ธาตุเหล็ก : เสริมสร้างภูมิต้านทานโดยรวม
- สังกะสี : ช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของทีเซลล์
- แร่ธาตุต่างๆ ส่วนใหญ่พบใน เมล็ดพืช ถั่วเปลือกแข็ง และผักเขียว
- โปรตีน สำคัญมากในการผลิตเซลล์ต่างๆ รวมทั้งแอนตีบอดี้และเอนไซม์ของระบบภูมิคุ้มกัน ควรทานอาหารที่มีโปรตีนสูงเป็นปริมาณมาก เช่น ถั่ว เมล็ดพืช เนื้อ และปลา
- ใยอาหาร ที่พบได้ในเมล็ดข้าวต่างๆ ผลไม้ และผัก จำเป็นต่อระบบการย่อย ช่วยทำให้ลำไส้สะอาดป้องกันการสะสมของสารพิษ และช่วยป้องกันการแพร่พันธุ์ของแบคทีเรียที่อันตราย
- ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนมีความสำคัญ กรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6 ช่วยลดอาการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยรวม จึงควรรับประทานถั่ว เมล็ดพืช และปลาที่มีไขมันดีมาก
- ผักใบเขียว เช่น บล็อกโคลี่และกะกล่ำปลี มีสารต้านมะเร็งที่มีฤทธิ์สูง แตงโม เกรปฟรุตสีชมพู และมะเขือเทศ มีปริมาณไลโคพีนสูงเป็นสุดยอดสารอาหารต้านมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง
- ผลไม้จำพวกเบอรี่ เช่น สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ราสเบอรี่ มัลเบอรี่ มีสารต้านการอักเสบแอนโทไซยานิน และกรดเอลลาจิกที่สามารถช่วยลดการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง
เอนไซม์กับการสร้างภูมิคุ้มกัน
ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอจะทำให้เป็นหวัดง่าย และจะต่อเนื่องได้ถึงการติดเชื้อไวรัส โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคความเสื่อมต่างๆ
โรคหวัดเป็นการติดเชื้อเฉียบพลันและแพร่กระจายได้ง่าย โดยเชื้อไวรัสที่บริเวณทางเดินหายใจส่วนบน อย่างน้อย 20 ชนิดของ คนที่ทานเอนไซม์สม่ำเสมอจะไม่เป็นหวัด
เชื้อจุลชีพที่อาศัยในลำไส้มีเชื้อแบคทีเรียกว่า 400 ชนิด ต้องควบคุมสุขภาพให้สมดุลจะได้ไม่มีเชื้อก่อโรคเกิดขึ้น โดยมีเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ความเครียดจากภายใน เป็นตัวควบคุม ถ้าภายในร่างกายขาดสมดุล ยีสต์จะครอบงำเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ เช่น เชื้อแคนดิดา อัลบิแคน เจริญเติบโตมากเกิน จะทำให้เกิดติดเชื้อ เช่น
โรคหวัดเป็นการติดเชื้อเฉียบพลันและแพร่กระจายได้ง่าย โดยเชื้อไวรัสที่บริเวณทางเดินหายใจส่วนบน อย่างน้อย 20 ชนิดของ คนที่ทานเอนไซม์สม่ำเสมอจะไม่เป็นหวัด
เชื้อจุลชีพที่อาศัยในลำไส้มีเชื้อแบคทีเรียกว่า 400 ชนิด ต้องควบคุมสุขภาพให้สมดุลจะได้ไม่มีเชื้อก่อโรคเกิดขึ้น โดยมีเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ความเครียดจากภายใน เป็นตัวควบคุม ถ้าภายในร่างกายขาดสมดุล ยีสต์จะครอบงำเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ เช่น เชื้อแคนดิดา อัลบิแคน เจริญเติบโตมากเกิน จะทำให้เกิดติดเชื้อ เช่น
- ระบบทางเดินอาหาร ทำให้การดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุไม่ดี ทำให้แพ้อาหาร ภูมิไวเกิน (ภูมิแพ้) คลื่นไส้ และท้องเสีย
- ท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดปัสสาวะบ่อย เจ็บปวด ปวดแสบปวดร้อน บวม และมีกลิ่นเหม็น
- ระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ ไซนัส และโพรงจมูกอักเสบ
การสร้างและป้องกันที่ดีที่สุด
- การทานเอนไซม์เสริมจากภายนอกและลดการบริโภคน้ำตาล
- น้ำตาลคือตัววายร้ายในร่างกาย ถ้าลดไม่ได้ก็ควรเพิ่มเอ็นไซม์ เพื่อเผาผลาญน้ำตาลไม่ให้เหลือตกค้างในร่างกาย ทำให้เป็นต้นเหตุของโรคเสื่อมเรื้อรังได้
- ควรทาน..เอนไซม์โปรตีเอส ระหว่างมื้ออาหารเพื่อช่วยให้ร่างกายย่อยโปรตีนได้อย่างสมบูรณ์ เพราะในร่างกายมนุษย์จะมีเอนไซม์โปรติเอสน้อย
- ทานผักและผลไม้สด และควรหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมมากเกินไป
- เลือกทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตไม่สูง ด้วยการอ่านฉลากโภชนาการ
- การเติมเอนไซม์อะไมเลส จะลดการบวมและการอักเสบในร่างกาย
- การเติมเอนไซม์อะไมเลสพร้อมกับอาหารและเอนไซม์โปรตีเอสในปริมาณมาก จะช่วยลดอาการที่เกิดจากเชื้อราแคนดิดาและอาการเหนื่อยล้าเรื้อรังได้
- ระบบย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์ จะมีกากอาหารตกค้างจนบูดเน่า เป็นแหล่งอาหารที่ดีสำหรับจุลินทรีย์ตัวร้าย ทำให้เกิดก๊าชจำนวนมาก และตามมาด้วยอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
- เอนไซม์โปรตีเอสที่เพียงพอ จะย่อยและทำลายล้างเชื้อโรคที่จู่โจมระบบภูมิคุ้มกันได้
- ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคจะมีโปรตีนคลุมสปอร์ไว้ เอนไซม์โปรตีเอสจะย่อยโปรตีนนั้นออก จนเม็ดเลือดขาวตรวจเจอและทำลาย
- การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่ง ต้องลดการบริโภค อาหาร และ น้ำ ที่ปนเปื้อนด้วยสารเคมีทางการเกษตร น้ำตาลที่ทำให้ตับอ่อน ไต และ ตับทำงานหนัก
- ควรทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพื่อเพิ่มไฟเบอร์ในร่างกายให้ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย




การสร้างภูมิคุ้มกันอย่างง่ายๆ
การออกกำลังกายวันละ 30 นาที/ครั้ง 3-5 วัน/สัปดาห์ จะกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองในเซลล์ภูมิคุ้มกันทั้งร่างกาย และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยนำออกซิเจนไปสู่อวัยวะต่างๆได้ดีขึ้น
- การมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิตและการมีสังคมที่ดี มีกิจกรรมที่ได้พบปะและสังสรรค์ เช่น การเต้นรำ การร้องเพลง จะทำให้อารมณ์ดี ไม่เครียดและได้หัวเราะ เป็นการสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ทำได้ง่าย
- การนอนหลับอย่างเพียงพอก็เป็นเรื่องสำคัญ การรับแสงแดดก็เป็นเคล็ดลับในการกระตุ้นอารมณ์และภูมิคุ้มกัน โยคะ ชี่กง และการนั่งสมาธิสามารถลดความเครียด และช่วยผ่อนคลาย จึงมีส่วนช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันเช่นกัน
- การเลือกทานเอนไซม์จากจุลินทรีย์โปรไบโอติค จากแหล่งผลิตในธรรมชาติที่สะอาดปลอดภัย และมีมาตรฐานการรับรองจากหน่่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยปกติมนุษย์มีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่อย่างทรงประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค หากภูมิคุ้มกันบกพร่อง ยาต้านจุลชีพที่ดีเลิศเพียงใด ก็อาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตคนเราจากโรคติดเชื้อไว้ได้ เพราะการที่จะหายจากโรคติดเชื้อได้นั้น ภูมิคุ้มกันในร่างกายเป็นผู้ช่วยตัวสำคัญที่สุด
สนับสนุนโดย...แอนซิม่า (Anzima) เอนไซม์จากจุลินทรีย์โปรไบโอติค
"กุญแจไขความลับสู่สุขภาพที่ดี"
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแอนซิม่า เหมือนกันกับการเติมน้ำให้ชีวิตที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อให้เรียบเสมอกัน ช่วยในการชะลอวัย ทำให้ดูเป็นหนุ่มเป็นสาวกว่าอายุที่แท้จริง ช่วยทำให้เซลล์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ 4 ประการ คือ
· กระบวนการย่อยสมบูรณ์ทั้งระบบ ทำให้เซลล์ได้รับอาหาร และออกซิเจนเต็มที่
· ย่อยสลายสารพิษที่ตกค้าง ในเลือด และในอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะที่ ตับ และไต
· ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา พร้อมเพิ่มคุณภาพภูมิต้านทานต้านเชื้อไวรัส
· ต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะมาทำร้ายเซลล์
สนใจติดต่อ..
Call center : โทร. 088-536-2211 088-536-3322 088-536-4433 02-444-6544
ID line : Enzyme.co.th
Follow LINE Official ID @jqk0152o : https://bit.ly/2KuayDT
Follow Fanpage Biowist.co.th : https://bit.ly/2w61GRN
Follow Instagram enzymebiowist : https://bit.ly/2Ig6qcm
"กุญแจไขความลับสู่สุขภาพที่ดี"
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแอนซิม่า เหมือนกันกับการเติมน้ำให้ชีวิตที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อให้เรียบเสมอกัน ช่วยในการชะลอวัย ทำให้ดูเป็นหนุ่มเป็นสาวกว่าอายุที่แท้จริง ช่วยทำให้เซลล์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ 4 ประการ คือ
· กระบวนการย่อยสมบูรณ์ทั้งระบบ ทำให้เซลล์ได้รับอาหาร และออกซิเจนเต็มที่
· ย่อยสลายสารพิษที่ตกค้าง ในเลือด และในอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะที่ ตับ และไต
· ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา พร้อมเพิ่มคุณภาพภูมิต้านทานต้านเชื้อไวรัส
· ต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะมาทำร้ายเซลล์
สนใจติดต่อ..
Call center : โทร. 088-536-2211 088-536-3322 088-536-4433 02-444-6544
ID line : Enzyme.co.th
Follow LINE Official ID @jqk0152o : https://bit.ly/2KuayDT
Follow Fanpage Biowist.co.th : https://bit.ly/2w61GRN
Follow Instagram enzymebiowist : https://bit.ly/2Ig6qcm
สนใจสอบถาม/สั่งซื้อ
|